บทที่ ๑
บทนำ
ที่มาและความสำคัญ
แนวคิดพื้นฐานของเกษตรอินทรีย์คือ การทำการเกษตรแบบองค์รวม
ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากระบบเกษตรแผนใหม่ที่มุ่งเน้นการใช้ปัจจัยการผลิต ต่างๆ
เพื่อเพิ่มผลผลิตเฉพาะพืชที่ปลูก ซึ่งเป็นแนวคิดแบบแยกส่วน
เพราะให้ความสนใจเฉพาะแต่ผลผลิตของพืชหลักที่ปลูก
โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรการเกษตรหรือนิเวศการเกษตร
สำหรับเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นการเกษตรแบบองค์รวมจะให้ความสำคัญกับการ
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน,
การรักษาแหล่งน้ำให้สะอาด
และการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของฟาร์ม
ทั้งนี้เพราะแนวทางเกษตรอินทรีย์อาศัยกลไกและกระบวนการของระบบนิเวศในการทำ การผลิต
จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
เกษตรอินทรีย์จึงปฏิเสธการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมี
เนื่องจากสารเคมีการเกษตรเหล่านี้มีผลกระทบต่อกลไกและกระบวนการของระบบนิเวศ
นอกเหนือจากการปฏิเสธการใช้สารเคมีการเกษตรแล้ว
เกษตรอินทรีย์ยังให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลของวงจรของธาตุอาหาร, การประหยัดพลังงาน,
การอนุรักษ์ระบบนิเวศการเกษตร และการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
ซึ่งถือได้ว่าเกษตรอินทรีย์เป็นการบริหารจัดการฟาร์มเชิงบวก (positive
management) และการจัดการเชิงบวกนี้เองที่ทำให้เกษตรอินทรีย์แตกต่างอย่างสำคัญจากการ
เกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีแบบปล่อยปะละเลย (ที่มักอ้างว่า เป็นการเกษตรตามแบบธรรมชาติ)
หรือเกษตรปลอดสารเคมีและเกษตรไร้สารพิษที่เฟื่องฟูในบ้านเรามานานหลายปี
เนื่องจากเกษตรอินทรีย์เป็นการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับการ
ทำฟาร์มเชิงสร้างสรรค์ (เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศการเกษตรในไร่นา)
ดังนั้นเกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยว
กับธรรมชาติและการบริหารจัดการฟาร์มของตนเพิ่มขึ้นด้วย
ผลที่ตามมาก็คือเกษตรอินทรีย์จึงเป็นแนวทางการเกษตรที่ตั้งอยู่บนกระบวนการ
แห่งการเรียนรู้และภูมิปัญญา เพราะเกษตรกรต้องสังเกต, ศึกษา, วิเคราะห์-สังเคราะห์ และสรุปบทเรียนเกี่ยวกับการทำการเกษตรของฟาร์มตนเอง
ซึ่งจะมีเงื่อนไขทั้ง
4
ทางกายภาพ
(เช่น ลักษณะของดิน ภูมิอากาศ และภูมินิเวศ)
รวมถึงเศรษฐกิจ-สังคมที่แตกต่างจากพื้นที่อื่น
เพื่อคัดสรรและพัฒนาแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เฉพาะและเหมาะสมกับฟาร์มของ
ตัวเองอย่างแท้จริง
นอกจากนี้
เกษตรอินทรีย์ยังให้ความสำคัญกับเกษตรกรผู้ผลิตและชุมชนท้องถิ่น
เกษตรอินทรีย์มุ่งหวังที่จะสร้างความมั่นคงในการทำการเกษตรสำหรับเกษตรกร
ตลอดจนอนุรักษ์และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนเกษตรกรรม
วิถีการผลิตของเกษตรอินทรีย์เป็นวิถีการผลิตที่เกษตรกรต้องอ่อนน้อมและ
เรียนรู้ในการดัดแปลงการผลิตของตนให้เข้ากับวิถีธรรมชาติ
อาศัยกลไกธรรมชาติเพื่อทำการเกษตร ดังนั้นวิถีการผลิต
เกษตรอินทรีย์จึงเป็นวิถีแห่งการเคารพและพึ่งพิงธรรมชาติ
ซึ่งสอดคล้องกลมกลืนกับวิถีชีวิตของชุมชนเกษตรพื้นบ้านของสังคมไทย
แต่ในขณะเดียวกัน
เกษตรอินทรีย์ก็ไม่ได้ปฏิเสธการผลิตเพื่อการค้า
เพราะตระหนักว่าครอบครัวเกษตรกรส่วนใหญ่จำเป็นต้องพึ่งพาการจำหน่ายผลผลิต
เพื่อเป็นรายได้ในการดำรงชีพ
ขบวนการเกษตรอินทรีย์พยายามส่งเสริมการทำการตลาดผลผลิตเกษตรอินทรีย์ทั้งใน
ระดับท้องถิ่น ประเทศ และระหว่างประเทศ โดยการตลาดท้องถิ่นอาจมีรูปแบบที่หลากหลายตามแต่เงื่อนไขทางสภาพเศรษฐกิจและ
สังคมของท้องถิ่นนั้น เช่น ระบบชุมชนสนับสนุนการเกษตร (Community Support Agriculture -
CSA) หรือระบบอื่นๆ ที่มีหลักการในลักษณะเดียวกัน
ส่วนตลาดที่ห่างไกลออกไปจากผู้ผลิต ขบวนการเกษตรอินทรีย์ได้พยายามพัฒนามาตรฐานการผลิตและระบบการตรวจสอบรับรอง
ที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ว่า ทุกขั้นตอนของการผลิต แปรรูป
และการจัดการนั้นเป็นการทำงานที่พยายามอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนรักษาคุณภาพของผลผลิตให้เป็นธรรมชาติเดิมมากที่สุด
จากแนวคิดหลักพื้นฐานของเกษตรอินทรีย์
ที่มุ่งเน้นการทำการเกษตรที่อนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
แนวทางปฏิบัติของเกษตรอินทรีย์จึงเน้นการผลิตความสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติ
โดยการประยุกต์ปรับใช้กลไกนิเวศธรรมชาติสำหรับการทำเกษตร ที่สำคัญได้แก่
การหมุนเวียนธาตุอาหาร,
การสร้างความอุดมสมบูรณ์ของดิน, ความสัมพันธ์แบบสมดุลของสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย,
การอนุรักษ์และฟื้นฟูนิเวศการเกษตร,
การหมุนเวียนธาตุอาหาร
ในป่าธรรมชาติ
ต้นไม้พืชพรรณได้รับธาตุอาหารจากดินและอากาศ
โดยธาตุอาหารในดินจะถูกดูดซึมผ่านทางราก ส่วนธาตุอาหารในอากาศพืชจะได้รับจากการหายใจทางใบ
เมื่อพืชได้รับแสงก็จะสังเคราะห์ธาตุอาหารเหล่านี้มาเป็นสารอาหารต่างๆ
ซึ่งทำให้พืชเจริญเติบโต และเพิ่มชีวมวล (biomass) ของพืชเอง
ไม่ว่าจะเป็นลำต้นที่ขยายใหญ่ขึ้น กิ่งก้านและใบเพิ่มขึ้น ฯลฯ
เมื่อใบหรือกิ่งแก่ลงก็จะร่วงหล่นลงดิน
หรือบางส่วนของพืชอาจถูกสัตว์หรือแมลงกัดแทะ และเมื่อสัตว์ถ่ายมูลออกมา
มูลเหล่านั้นก็กลับคืนลงสู่ดิน ทั้ง
5
ชีวมวลจากพืชและมูลสัตว์ที่กินพืช
(ที่เราเรียก “อินทรีย์วัตถุ”) เมื่อกลับคืนสู่ดินก็จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมา
ซึ่งรากพืชจะดูดซึมกลับไปเป็นธาตุอาหารอีกครั้งหนึ่ง
วัฏจักรหรือวงจรธาตุอาหารที่หมุนเวียนไปอย่างสมดุลนี้เอง
ที่ทำให้พืชในป่าสามารถเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนเป็นเวลาหลายร้อยหลายพัน ปี
เพราะธาตุอาหารทั้งหมดหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศนั้นๆ อย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าการทำเกษตรไม่ว่าจะเพื่อยังชีพ
หรือเพื่อจำหน่ายก็ตาม
ธาตุอาหารส่วนหนึ่งย่อมสูญหายไปจากระบบนิเวศการเกษตรจากการบริโภคผลผลิต
ดังนั้นเกษตรกรจำเป็นต้องหาวิธีการที่เหมาะสมในการหาธาตุ
อาหารจากภายนอก
ฟาร์มมาชดเชยส่วนที่สูญเสียไป แต่ปัญหาการสูญเสียธาตุอาหารในฟาร์มที่สำคัญกว่าก็คือ
การสูญเสียธาตุอาหารในดินที่เกิดขึ้นจากการชะล้างหน้าดิน, การกัดเซาะของลม
ฝน และน้ำ, ธาตุอาหารที่ไหลลงดินลึกชั้นล่าง
รวมถึงที่สูญเสียไปทางอากาศ
ดังนั้นเกษตรอินทรีย์จึงให้ความสำคัญกับการป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารที่
เกิดจากระบบการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาแหล่งธาตุอาหารจากภายนอกฟาร์มที่มากเกินไป
แนวทางการหมุนเวียนธาตุอาหารในฟาร์มอาศัยหลักการทางธรรมชาติ
ด้วยการใช้ธาตุอาหารพืชที่อยู่ในรูปของอินทรีย์วัตถุที่สามารถย่อยสลายได้
โดยจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำให้วงจรธาตุอาหารหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างของการหมุนเวียนธาตุอาหารในแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญ คือ
การใช้ปุ๋ยหมัก,
การคลุมดินด้วยอินทรีย์วัตถุ, การปลูกพืชเป็นปุ๋ยพืชสด
และการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น
ความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารในดิน
"ความอุดมสมบูรณ์ของดิน” ถือได้ว่าเป็นหัวใจของเกษตรอินทรีย์
ผิวดินในระบบนิเวศป่าธรรมชาติจะมีเศษซากพืชและใบไม้ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งอินทรีย์วัตถุที่คลุมดินนี้
นอกจากจะช่วยป้องกันการกัดเซาะและการพังทลายของหน้าดินแล้ว
ยังมีส่วนสำคัญที่ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น เพราะอินทรีย์วัตถุเหล่านี้เป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ที่อยู่ใน
ดิน ดังนั้นการมีอินทรีย์วัตถุคลุมหน้าดินจึงทำให้ “ดินมีชีวิต”
ขึ้น ซึ่งเมื่ออินทรีย์วัตถุเหล่านี้ย่อยสลายผุพัง
(โดยการทำงานของสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ในดิน)
ก็จะทำให้เกิดฮิวมัสซึ่งทำให้ดินร่วนซุย และสามารถเก็บกักน้ำและธาตุอาหารต่างๆ
ได้เพิ่มมากขึ้น
ดินจึงมีความชื้นอยู่ตลอดเวลาและมีธาตุอาหารเพียงพอให้กับพืชพรรณในบริเวณ
ดังกล่าวเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง
ดังนั้น
หลักการของการทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องหาอินทรีย์วัตถุต่างๆ
มาคลุมหน้าดินอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นฟาง ใบไม้ หรือแม้แต่พืชขนาดเล็ก (เช่น
พืชที่ใช้ปลูกคลุมดิน)
ซึ่งอินทรีย์วัตถุเหล่านี้จะกลายเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ในดิน
ทำให้ดินฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้การไม่ใช้สารเคมีต่างๆ ที่
6
เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและจุลินทรีย์ในดิน
(เช่น สารเคมีกำจัดศัตรูพืช)
เป็นการช่วยทำให้ดินสามารถฟื้นความสมบูรณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อดินมีความสมบูรณ์พืชที่ปลูกก็แข็งแรง มีความต้านทานต่อโรคและแมลง
รวมทั้งให้ผลผลิตสูง
ความหลากหลายที่สัมพันธ์กันอย่างสมดุลในระบบนิเวศ
นิเวศป่าธรรมชาติมีพืชพรรณและสิ่งมีชีวิตต่างๆ
อยู่ร่วมกันอย่างหลากหลาย สิ่งมีชีวิตต่างๆ เหล่านี้มีทั้งที่พึ่งพาอาศัยกัน
แข่งขันกัน หรือเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง
แต่ต่างก็สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้
อย่างสมดุลและมีเสถียรภาพ
พืชพรรณต่างๆ แม้จะมีแมลงหรือศัตรูที่กินพืชนั้นเป็นอาหารบ้าง
แต่ก็ไม่ได้ทำลายพืชนั้นจนเสียหายไปทั้งหมด
ทั้งนี้เพราะพืชเองก็มีความสามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองจากการทำลายของศัตรูพืช ได้
และนอกจากนี้เมื่อมีแมลงศัตรูพืชเกิดขึ้นมาก
ก็จะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติมาควบคุมประชากรของศัตรูพืช
ให้ลดลงอยู่ในภาวะที่สมดุล
จากหลักการนี้เอง
การทำเกษตรอินทรีย์จะต้องหาสมดุลของการเพาะปลูกพืชที่หลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชร่วมหลายชนิดในเวลาเดียวกัน หรือเหลื่อมเวลากัน
ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียนต่างชนิดกัน รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ ทั้งนี้การทำเกษตรที่หลากหลาย
(ซึ่งมักนิยมเรียกกันว่า “เกษตรผสมผสาน”) นับเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
และยังเป็นการลดความเสี่ยงภัยจากปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชระบาดอีกด้วย
นอกจากนี้การไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะมีส่วนช่วยให้ศัตรูธรรมชาติสามารถ แสดงบทบาทในการควบคุมศัตรูพืช
ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลนิเวศการเกษตรอีกวิธีหนึ่ง
เพราะการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะทำลายศัตรูธรรมชาติในสัดส่วนที่มากกว่า ศัตรูพืช
ทำให้ศัตรูพืชกลับยิ่งระบาดรุนแรงมากขึ้นอีก
การอนุรักษ์และฟื้นฟูนิเวศการเกษตร
แนวทางสำคัญของเกษตรอินทรีย์ก็คือ
การอนุรักษ์ระบบนิเวศการเกษตรและสิ่งแวดล้อม
ด้วยการปฏิเสธการใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด
ทั้งนี้เพราะปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ทำลายสมดุลของนิเวศการ
เกษตรและส่งผลกระทบด้านลบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
(ไม่ว่าจะเป็นสารเคมีฆ่าแมลง สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา และสารเคมีกำจัดวัชพืช)
มีผลต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในฟาร์มทั้งที่อยู่บนผิวดินและใต้ดิน เช่น สัตว์
แมลง และจุลินทรีย์ ในกลไกธรรมชาติสิ่งมีชีวิตต่างๆ
เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลของนิเวศการเกษตร
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยควบคุมประชากรของสิ่งมีชีวิตอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศัตรูพืช
หรือการพึ่งพาอาศัยกันในการดำรงชีวิต เช่น การผสมเกสร
และการช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ
ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่มีทั้งที่เป็นประโยชน์ต่อพืชที่เกษตรกร เพาะปลูก
หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้สร้าง
7
ผลเสียกับพืชที่ปลูกแต่อย่างใด
แต่การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชนั้นมีผลทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์
ในขณะที่โรคและแมลงศัตรูพืชมักจะมีความสามารถพิเศษในการพัฒนาภูมิต้านทานต่อ
สารเคมี ดังนั้นเมื่อมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
แมลงที่เป็นประโยชน์จึงถูกทำลายได้โดยง่าย
ในขณะที่แมลงศัตรูพืชสามารถอยู่รอดได้โดยไม่เป็นอันตราย
แม้แต่ปุ๋ยเคมีก็มีผลเสียต่อจุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตในดิน
ทำให้สมดุลของนิเวศดินเสีย
ดังนั้นเกษตรอินทรีย์จึงห้ามไม่ให้ใช้ปัจจัยการผลิตที่เป็นสารเคมี
สังเคราะห์ทุกชนิดในการเพาะปลูก
นอกเหนือจากการอนุรักษ์แล้ว
แนวทางเกษตรอินทรีย์ยังเน้นให้เกษตรกรต้องฟื้นฟูสมดุลและความอุดมสมบูรณ์ของ
ระบบนิเวศด้วย
ซึ่งหลักการนี้ทำให้เกษตรอินทรีย์มีความแตกต่างอย่างมากจากระบบเกษตรปลอดสาร
เคมีที่รู้จักกันในประเทศไทย แนวทางหลักในการฟื้นฟูนิเวศการเกษตรก็คือ
การปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ และการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ
สำหรับระบบเกษตรอินทรีย์
ดินถือว่าเป็นกุญแจสำคัญ
เพราะการปรับปรุงบำรุงดินทำให้ต้นไม้ได้รับธาตุอาหารอย่างครบถ้วนและสมดุล
ซึ่งจะช่วยให้ต้นไม้แข็งแรง มีความต้านทานต่อการระบาดของโรคและแมลง
อันจะทำให้เกษตรกรไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช
ทั้งยังสามารถเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืนกว่าการเพาะปลูกด้วยระบบเกษตรเคมี อีกด้วย
นอกจากนี้ผลผลิตของเกษตรอินทรีย์ยังมีรสชาติดี และมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วน
นอกเหนือจากการปรับปรุงบำรุงดินแล้ว
การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในไร่นาก็เป็นสิ่งจำเป็น
นับเป็นเรื่องสำคัญต่อความยั่งยืนของระบบนิเวศการเกษตร
เพราะการที่สิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดอยู่ร่วมกันย่อมก่อให้เกิดความเกื้อกูล
และสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกระบวนการและพลวัตทางธรรมชาติที่เกื้อหนุนต่อการทำ
เกษตรอินทรีย์อีกต่อหนึ่ง วิธีการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพอาจทำได้หลายรูปแบบ
เช่น การปลูกพืชร่วม,
พืชแซม, พืชหมุนเวียน, ไม้ยืนต้น
หรือการฟื้นฟูแหล่งนิเวศธรรมชาติในไร่นาหรือบริเวณใกล้เคียง
การพึ่งพากลไกธรรมชาติในการทำเกษตร
เกษตรอินทรีย์ตั้งอยู่บนปรัชญาแนวคิดที่ว่า
การเกษตรที่ยั่งยืนต้องเป็นการเกษตรที่เป็นไปตามครรลองของธรรมชาติ
ไม่ใช่การเกษตรที่ฝืนวิถีธรรมชาติ ดังนั้น
การทำเกษตรจึงไม่ใช่การพยายามเอาชนะธรรมชาติ
หรือการพยายามดัดแปลงธรรมชาติเพื่อการเพาะปลูก แต่เป็นการเรียนรู้จากธรรมชาติและปรับระบบการทำเกษตรให้เข้ากับวิถีแห่ง
ธรรมชาติ
8
กลไกในธรรมชาติที่สำคัญต่อการทำเกษตรอินทรีย์ได้แก่
วงจรการหมุนเวียนธาตุอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงจรไนโตรเจนและคาร์บอน
วงจรการหมุนเวียนของน้ำ,
พลวัตของภูมิอากาศและแสงอาทิตย์ รวมทั้งการพึ่งพากันของสิ่งมีชีวิตอย่างสมดุลในระบบนิเวศ
ทั้งในเชิงของการเกื้อกูล การพึ่งพา และห่วงโซ่อาหาร
ตามที่ต่างๆ
ทั่วโลกย่อมมีระบบนิเวศและกลไกตามธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป
เกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงสภาพเงื่อนไขของ
ท้องถิ่นที่ตนเองทำการเกษตรอยู่ การหมั่นสังเกต เรียนรู้ วิเคราะห์-สังเคราะห์
และทำการทดลอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง
เพื่อที่ว่าระบบฟาร์มเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกรแต่ละรายจะได้ใช้ประโยชน์จาก
กลไกธรรมชาติและสภาพนิเวศท้องถิ่นอย่างเต็มที่
การพึ่งพาตนเองด้านปัจจัยการผลิต
เกษตรอินทรีย์มีแนวทางที่มุ่งให้เกษตรกรพยายามผลิตปัจจัย
การผลิตต่างๆ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์ เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ ด้วยตนเองในฟาร์มให้ได้มากที่สุด
แต่ในกรณีที่เกษตรกรไม่สามารถผลิตได้เอง (เช่น มีพื้นที่การผลิตไม่พอเพียง
หรือต้องมีการลงทุนสูงสำหรับการผลิตปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต้องใช้)
เกษตรกรก็สามารถซื้อหาปัจจัยการผลิตจากภายนอกฟาร์มได้
แต่ควรเป็นปัจจัยการผลิตที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น
แนวทางนี้เป็นไปตามหลักการสร้างสมดุลของวงจรธาตุอาหารที่
กระตุ้นให้เกษตรกรพยายามจัดสมดุลของวงจรธาตุอาหารในระบบที่เล็กที่สุด
(ซึ่งก็คือในฟาร์มของเกษตรกร) และมีความสอดคล้องกับนิเวศของท้องถิ่น
อันจะช่วยสร้างเสถียรภาพและความยั่งยืนของระบบการผลิตในระยะยาว
นอกจากนี้การเลือกใช้ปัจจัยการผลิตที่มีอยู่ในท้องถิ่นยังเป็นการใช้
ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขนย้ายปัจจัยการผลิตเป็นระยะทางไกลๆ
การพึ่งพาตนเองด้านปัจจัยการผลิตยังมีนัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ
กล่าวคือ เกษตรอินทรีย์ไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคการผลิต
แต่เป็นวิถีชีวิตและขบวนการทางสังคม
จากประสบการณ์ของการพัฒนาระบบเกษตรเคมีที่ผ่านมา เกษตรกรสูญเสียการเข้าถึงและการควบคุมปัจจัยการผลิตและกระบวนการผลิตในเกือบ
ทุกขั้นตอน
จำเป็นต้องพึ่งพิงองค์กรภาครัฐและธุรกิจเอกชนในการจัดหาปัจจัยการผลิตและ
เทคโนโลยีการผลิตเกือบทุกด้าน
จนเกษตรกรเองแทบไม่ต่างไปจากแรงงานรับจ้างในฟาร์มที่ทำงานในที่ดินของตนเอง
การส่งเสริมการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรในระบบเกษตรอินทรีย์จึงเป็นส่วนหนึ่ง
ของการสร้างความ
9
วัตถุประสงค์
-เพื่อพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้มีความรู้เรื่องการผลิตพืชตามระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์และ
สามารถถ่ายทอดความรู้ ให้ค าปรึกษาแนะน าเกษตรกรได้
-
เพื่อพัฒนาเกษตรกรให้มีความรู้เรื่องการผลิตสินค้าเกษตร (พืชและข้าว) ตามระบบ
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์
- เพื่อให้เกษตรกรสามารถผลิตสินค้าเกษตร
(พืชและข้าว) ตามระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
ได้เพิ่มขึ้น
-
เพื่อให้มีแหล่งผลิตสินค้าเกษตร (พืชและข้าว) ตามระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้น
10
บทที่ ๒
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาครั้งนี้ ดิฉันผู้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวของเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาโครงงาน ดังหัวข้อต่อไปนี้
การศึกษาครั้งนี้ ดิฉันผู้ศึกษาค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวของเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาโครงงาน ดังหัวข้อต่อไปนี้
-อินเทอร์เน็ต WWW.GOOGLE.
COM ได้แก่ ได้รู้จักวิธีปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ
คือ ผักกาด ผักหอม
ผักซี ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง
พริก กะหล่ำปลี ผักกาดขาว
ผักบุ้ง
-หนังสือกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชัน ม. ๔
ได้แก่ ความรู้เพิ่มเติม เรื่อง เกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
-ตัวอย่างแบบ โครงงาน ได้แก่ บทคัดย่อ
กิตติกรรมประกาศ ที่มาและความสำคัญ วิธีดำเนินงาน
-หนังสือเสริมความรู้ เรื่อง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
ความรู้ เรื่อง เกษตรอินทรีย์
ว่ามีความเป็นมาแบบใด มีแนวปฏิบัติแบบใด ประยุกต์ได้แบบใด
11
บทที่ ๓
วิธีดำเนินงาน
วิธีดำเนินงาน
วิธีดำเนินงาน
ลำดับ
|
ขั้นตอนการศึกษา
|
ระยะเวลาดำเนินการ
|
๑
|
กำหนดปัญหา
|
๖
ธ.ค ๕๖
|
๒
|
ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ
เรื่อง เกษตรอินทรีย์
|
๗
ธ.ค ๕๖
|
๓
|
รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการศึกษา
และสอบถามชาวบ้านในชุมชน
|
๘
ธ.ค ๕๖
|
๔
|
ศึกษาค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต
|
๑๓
ธ.ค ๕๖
|
๕
|
รวบรวมข้อมูลที่ได้
|
๑๔
ธ.ค ๕๖
|
๖
|
จัดทำรูปเล่มโครงงานขึ้น
เพื่อออกเผยแพร่ให้กับนักเรียนชั้นม.๔ และชาวบ้านในชุมชน
|
๒๐
ธ.ค ๕๖
|
๗
|
ออกเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าโครงงาน
|
๒๒
ธ.ค ๕๖
|
๘
|
นำความรู้ที่ได้มาจัดทำผังโครงงาน
|
๒๘
ธ.ค ๕๖
|
๙
|
นำเสนอโครงงาน
|
๒
ม.ค ๕๗
|
12
บทที่ ๔
ผลการศึกษาค้นคว้า
ผลการศึกษาค้นคว้า
ผลการศึกษาค้นคว้า
ผลการศึกษาค้นคว้า เรื่อง เกษตรอินทรีย์ จากการ สัมภาษณ์ ชาวบ้านหมู่บ้านใกล้เคียง และจากอินเทอร์เน็ต ปรากฏการศึกษา ดังต่อไปนี้
ผลการศึกษาค้นคว้า เรื่อง เกษตรอินทรีย์ จากการ สัมภาษณ์ ชาวบ้านหมู่บ้านใกล้เคียง และจากอินเทอร์เน็ต ปรากฏการศึกษา ดังต่อไปนี้
13
บทที่ ๕
สรุปผล อภิปรายผล ประโยชน์ที่ได้รับ และข้อเสนอแนะ
สรุปผล อภิปรายผล ประโยชน์ที่ได้รับ และข้อเสนอแนะ
การศึกษาโครงงาน เรื่อง เกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส สรุปผลได้
ดังนี้
ดังนี้
สรุปผล
จากการศึกษาและสอบถามชาวบ้านในชุมชน ได้ศึกษาพืชผักต่าง ๆ จำนวน ๙ ชนิด คือ ผักกาด ผักหอม ผักซี ผักคะน้า พริก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้งผักบุ้ง ผักกาดขาว ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการปลูกพืชผักต่าง ๆ และอื่น ๆ ดิฉันผู้ศึกษาจึงได้นำผลการเรียนรู้ออกเผยแพร่ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ และชาวบ้านในชุมชน เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และชาวบ้านในชุมชน ได้นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและสามารถปฏิบัติตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จากการศึกษาและสอบถามชาวบ้านในชุมชน ได้ศึกษาพืชผักต่าง ๆ จำนวน ๙ ชนิด คือ ผักกาด ผักหอม ผักซี ผักคะน้า พริก กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้งผักบุ้ง ผักกาดขาว ได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการปลูกพืชผักต่าง ๆ และอื่น ๆ ดิฉันผู้ศึกษาจึงได้นำผลการเรียนรู้ออกเผยแพร่ให้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ และชาวบ้านในชุมชน เพื่อให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และชาวบ้านในชุมชน ได้นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันและสามารถปฏิบัติตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อภิปรายผล
จากการศึกษา เรื่องเกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส ทำให้รู้ถึง ลักษณะการปลูกพืชผักต่าง ๆ มีดังนี้
จากการศึกษา เรื่องเกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส ทำให้รู้ถึง ลักษณะการปลูกพืชผักต่าง ๆ มีดังนี้
๑. ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักกาด
๒.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักหอม
๒.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักหอม
๓.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักซี
๔.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักคะน้า
๕.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก พริก
๖.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก กะหล่ำปลี
๗.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักกวางตุ้ง
๔.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักคะน้า
๕.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก พริก
๖.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก กะหล่ำปลี
๗.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักกวางตุ้ง
14
๘.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักกาดขาว
๙.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักบุ้ง
๙.ทำให้รู้ถึงลักษณะการปลูก ผักบุ้ง
ประโยชน์ที่ได้รับ
๑. รู้และเข้าใจ เรื่อง เกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส
๒.ได้ออกเผยแพร่ให้ความรู้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และชาวบ้านในชุมชน
๓. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการจัดทำโครงงานนำไปปฏิบัติจริงที่บ้าน และที่โรงเรียน
๔. ได้ปฏิบัติตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑. รู้และเข้าใจ เรื่อง เกษตรพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัส
๒.ได้ออกเผยแพร่ให้ความรู้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ และชาวบ้านในชุมชน
๓. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ สามารถนำความรู้ที่ได้จากการจัดทำโครงงานนำไปปฏิบัติจริงที่บ้าน และที่โรงเรียน
๔. ได้ปฏิบัติตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้อเสนอแนะ
๑. ในโอกาสต่อไปอยากออกเผยแพร่ทั่ว ตำบลโนนภิบาล
๒. อยากทำแผ่นพับออกเผยแพร่ให้ได้มากที่สุด
๓. อยากนำความรู้ที่ได้มาทำเป็นกิจการขนาดใหญ่ และนำผักปลอดสารพิษขายในท้องตลาด
๑. ในโอกาสต่อไปอยากออกเผยแพร่ทั่ว ตำบลโนนภิบาล
๒. อยากทำแผ่นพับออกเผยแพร่ให้ได้มากที่สุด
๓. อยากนำความรู้ที่ได้มาทำเป็นกิจการขนาดใหญ่ และนำผักปลอดสารพิษขายในท้องตลาด